ทำไม Facebook ถึงคิดว่า Apple คือคู่แข่งคนสำคัญ ? …เรามาหาข้อมูลกันครับ

Chawatvish
KBTG Life
Published in
3 min readApr 8, 2021

--

จากข่าวที่หลายคนน่าจะทราบมาบ้างแล้ว วันนี้ผมจะพาผู้อ่านทุกคนมาค้นหากันว่าทำไม Facebook ถึงคิดว่า Apple คือคู่แข่งคนสำคัญ (หรือแค่กลัวอะไรบางอย่าง 😅) ก่อนอื่นผมขอย้อนกลับไปพูดถึงการหารายได้ของ Facebook กันก่อน โดยปัจจุบัน Facebook มีรายได้จากหลักมาจากค่าโฆษณา ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

TL;DR
Apple ปรับรูปแบบการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ โดยจะมี Pop-up Message ขึ้นมาถามผู้ใช้ว่ายินยอมให้แอปพลิเคชันใดๆ ติดตามหรือไม่ เพราะแบบนี้ทาง Facebook จึงมองว่าเป็นหนึ่งในอุปสรรคของการเก็บข้อมูล โดยจะมีผลกระทบไปถึงการยิงโฆษณาเพื่อให้ตรงกับเป้าหมาย ในขณะเดียวกันก็คาดการณ์ว่าจะสูญเสียรายได้จากค่าโฆษณาประมาณ 50% ของปีก่อน

Facebook สร้างระบบที่สามารถเปิดให้คนทั่วไปหรือมาร์เก็ตเตอร์เข้ามาสร้างโฆษณาได้ด้วยตัวเอง ตามตัวอย่างด้านล่างนี้

ตัวอย่าง บริษัท A โพสสินค้าและบริการเพื่อทำการขายลงใน Facebook และต้องการให้โพสนั้นไปถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด จึงจำเป็นต้องจ้างให้ Facebook ช่วยโฆษณาสินค้าและบริการโดยการกำหนดคุณลักษณะของกลุ่มเป้าหมายลงไปว่าจะให้โชว์ใน News Feed ของกลุ่มเป้าหมายประเภทใด เช่น

“อายุ 25–35 ชอบเทคโนโลยี ใช้ iPhone ในการเข้า Facebook ติดตามเพจการเงิน สถานภาพโสด จบการศึกษาระดับ College ตำแหน่งงานเกี่ยวกับเทคโนโลยี “

เพียงเท่านี้โพสที่ต้องการก็จะถูกนำขึ้นไปในอยู่ในหน้าต่างๆ ของกลุ่มเป้าหมาย ทำให้มีโอกาสที่จะขายสินค้าและบริการได้ ทั้งหมดนี้เรียกว่า Facebook Audience Network หรือเครือข่ายโฆษณาของ Facebook

Audience Matching

เรามาดูกันต่อว่า Facebook Audience Network ที่ผมพูดถึงนั้นคืออะไรกันแน่ ในขั้นตอนของการสร้างโฆษณา ผู้ที่ต้องการโฆษณาจะต้องระบุว่า ต้องการให้โฆษณาชิ้นนั้นไปโชว์ที่ไหนบ้าง เช่น Facebook News Feed, Instagram Story, Facebook Messenger หรือจะเป็น App Partner ในหน้าต่างๆ

ตำแหน่ง News Feed ใน Facebook แอป
ใน Facebook Messenger
App Partner (ที่ทุกคนจะเจอเวลาเล่นเกมฟรีครับ 😅)
ตำแหน่งของโฆษณาที่จะไปขึ้นอยู่ในที่ต่างๆ ของแพลตฟอร์ม Facebook

ซึ่งโมเดลธุรกิจการโฆษณานี้ทำให้ Facebook มีรายได้เข้ามาในบริษัทจำนวนมาก คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 98% ของรายได้ทั้งหมด จากการนำข้อมูลผู้ใช้ที่ Facebook สามารถติดตามได้ตั้งแต่แอปพลิเคชันในมือถือ ไปจนถึงเว็บไซต์ที่ลิงก์กันผ่าน Facebook Pixel มาขายนั่นเอง

สัดส่วนรายได้ Facebook ของปี 2020 โดยได้รับค่าโฆษณาคิดเป็น 98% ของรายได้ทั้งหมด*

เราเริ่มเห็นจุดเชื่อมโยงอะไรไหมครับ?

แล้วทำไมเราสร้างโฆษณาเพียงแค่ครั้งเดียวแต่สามารถโฆษณาได้หลายที่?

ใช่แล้วครับ Facebook มีกระบวนการติดตามผู้ใช้ในทุกๆ แอปพลิเคชันของ Facebook หรือแม้แต่ App Partner ที่โชว์โฆษณาและได้รับเงินจาก Facebook จะต้องทำการส่งข้อมูลผู้ใช้และรหัสประจำเครื่องกลับไปให้ Facebook… เล่ามาพอสมควร เอาละครับ! ต่อจากนี้ผมจะพูดถึงเนื้อหาเกี่ยวกับหัวข้อบทความนี้แล้วครับ ลุยกันเลย 🚀

หลังจากที่ทุกคนได้รู้แล้วว่า Facebook สามารถติดตามเราได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ ในทางกลับกันทางด้านของ Apple ก็ได้เล็งเห็นว่าการใช้งานข้อมูลส่วนของคนอื่นควรจะได้รับการยอมรับจากเจ้าของข้อมูลก่อน ทำให้ Apple ได้ออกแบบระบบที่ชื่อว่า App Tracking Transparency ซึ่งจะอยู่บนระบบปฏิบัติการตั้งแต่ iOS 14.0, macOS 11.0, tvOS 14.0 เป็นต้นไป

โดยการทำงานของระบบนี้จะโชว์ Pop-up Message เพื่อขอสิทธิ์อนุญาตเข้าถึงข้อมูลนั้นๆ เช่นในรูปด้านล่างที่ Facebook ต้องการขอ Track Activity ของผู้ใช้

Pop-up Message สำหรับขออนุญาตติดตามข้อมูลกิจกรรม**

หลังจากที่ Apple ได้ปล่อยฟีเจอร์นี้ออกไป ผู้ใช้จะสามารถรู้ได้แล้วว่าตัวเองกำลังจะถูกติดตามเก็บข้อมูลอะไรไปบ้าง โดยสามารถดูได้จากหน้าข้อมูลของแอปพลิเคชันนั้น ๆ บน App Store ผมมีตัวอย่างรูปด้านล่างที่เป็นแอปพลิเคชันของ Facebook ก็จะเห็นได้ว่า Facebook ได้เก็บข้อมูลเราเยอะเหมือนกันนะ 😉 หรือเพราะเหตุนี้ทำให้ทาง Facebook ถึงกับออกโรงป่าวประกาศว่าคู่แข่งคนสำคัญของเขาคือ Apple ไหมนะ

App Store มีการอัพเดตหน้าตาสำหรับแสดงข้อมูลที่ถูกติดตามจากแอปพลิเคชันนั้นๆ

คราวนี้ทุกคนน่าจะรู้แล้วใช่ไหมครับว่าเหตุผลของเรื่องนี้คืออะไร? เพราะฉะนั้นผมขอชวนทุกคนมาตามกันต่อถึงวิธีการของ Apple และการ Implement ในส่วนของการติดตามผู้ใช้กันครับ

สรุป

  • Facebook กลัวการป้องกันการเข้าถึงนี้เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่มี Dialog ที่ต้องขึ้นมาถามผู้ใช้ก่อนการเก็บข้อมูล รวมถึง App Partner ที่มีโอกาสไม่ได้รับอนุญาตให้เก็บข้อมูลและส่งกลับไปให้ Facebook
  • Facebook ยอมรับว่า iOS อาจจะทำให้เขาสูญเสียรายได้ประมาณ 50 % ***
  • Apple ยอมรับว่าเรื่อง Privacy นั้นสำคัญและได้มอบอำนาจนี้กลับไปให้ผู้ใช้เป็นคนตัดสินใจที่จะยอมรับการติดตามและเก็บข้อมูลนี้หรือไม่
  • ใน App Store จะโชว์ข้อมูลของแอปพลิเคชันนั้นว่ามีการเก็บข้อมูลอะไรไปบ้าง

GEEK Alert!!!! 😎

ยังจำกันได้ไหมครับที่ผมบอกว่า Facebook สามารถยิงโฆษณาไปได้หลายที่ และเจ้าข้อมูลตัวนี้แหละครับที่สำคัญไม่แพ้กัน มาทำความรู้จักกันเลยครับ

Identifier for Advertising หรือ IDFA เป็นข้อมูลที่จะเอาไว้ใช้ระบุตัวตนของอุปกรณ์ Apple มีลักษณะเป็นตัวอักษร 37 ตัว เหมือนในตัวอย่างด้านล่างนี้ ซึ่งมีส่วนในการกำหนดเป้าหมายในการยิงโฆษณาได้แม่นยำและตรงจุดมากขึ้น

(7D902I08D-7846–4CA4-TE6P-83369125YFDC)

1 เครื่องมี 1 ชุด เป็นข้อมูล Unique ไม่ซ้ำใคร แล้วทำไมข้อมูลนี้ถึงสำคัญ?
เพราะเราสามารถติดตามได้ว่าเครื่องนั้นกำลังทำกิจกรรมหรือธุรกรรมใด รวมถึงเจ้าของเป็นใครนั้นเอง แต่หลังจาก iOS 14.5 Beta ถูกปล่อยมาให้ใช้ ข้อมูล IDFA จะถูกปรับเป็นดังนี้

(00000000–0000–0000–0000–000000000000)

หมายความว่าต่อจากนี้ระบบจะถามผู้ใช้ว่าต้องการให้เก็บข้อมูลหรือไม่ ถ้าผู้ใช้ตอบไม่ต้องการให้ข้อมูล ระบบจะ Return ออกค่า IDFA มาเป็น 0000… กลับไปให้ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน แสดงถึงความไม่มีตัวตนของเครื่องนั้นๆ ยกตัวอย่างในกรณี App Partner ที่รับเงินโฆษณาจาก Facebook ก็จะไม่สามารถส่งข้อมูลตัวนี้กลับไปให้ Facebook ได้ นั่นหมายความว่า Facebook ก็จะรู้ข้อมูลของผู้ใช้นั้นน้อยลงไปอีก ทำให้การจะโฆษณานอกแอป Facebook เป็นไปได้ยากขึ้น

สำหรับแอปพลิเคชันของเพื่อนๆ นักพัฒนาที่มีการเก็บข้อมูล IDFA ไว้อยู่แล้ว เนื่องจาก iOS 14.5 ที่กำลังจะมาในเร็วๆ นี้ได้ออกมาบังคับเกี่ยวกับการขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลดังกล่าวหลังจากที่ดีเลย์มาตั้งแต่ 14.0 เพื่อให้แอปพลิเคชันนั้นสามารถเรียกข้อมูล IDFA ได้ปกติ วันนี้ทางเราเลยนำวิธีการ Implement มาแชร์ให้เพื่อนๆ นักพัฒนาได้เตรียมตัวก่อนที่ทาง Apple จะปล่อย iOS ออกมากันครับ

Step by Step

1. Update Info.plistใช้ Key ที่ชื่อว่า NSUserTrackingUsageDescription โดยใส่คำอธิบายว่าทำไมต้องการเก็บข้อมูลนี้จากผู้ใช้ โดยข้อความนี้จะโชว์ให้ผู้ใช้ได้เห็น

ข้อมูลใน Info.plist

2. ทำการ Import Library ที่ชื่อว่า AppTrackingTransparency และ AdSupport สำหรับเรียกใช้งาน และสร้าง Function requestPermission สำหรับใช้งานได้เลย โดยเราจะเรียกใช้งานผ่าน ATTrackingManager.requestTrackingAuthorization ใน Method นี้จะมี Callback สถานะด้วยกันทั้งหมด 4 สถานะ

  • Authorized ผู้ใช้ยอมรับให้ Tracking ได้ ดังนั้นเราสามารถเรียกข้อมูล IDFA ได้
  • Denied ผู้ใช้ปฏิเสธการให้ข้อมูล แต่เรายังสามารถเปิดหน้า App Setting เพื่อให้ผู้ใช้เปลี่ยนใจได้
  • Not Determined ผู้ใช้ยังไม่ได้เลือกยอมรับ เราสามารถเปิดหน้าจอ Pop-up เพื่อถามผู้ใช้ได้
  • Restricted ผู้ใช้เลือกที่จะให้เครื่องป้องกันการติดตามข้อมูล กรณีนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงและขอสิทธิ์ได้อีก
Request permission method

สุดท้ายอยากบอกว่าการ Implement เกี่ยวกับข้อมูล IDFA ไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่ยากคือ App Review ที่ Apple จะถามถึงข้อมูลว่าผู้พัฒนาต้องการเก็บข้อมูลอะไรบ้าง 🤓

สุดท้ายและท้ายสุด กรณีที่ผู้ใช้ยังใช้แอปเราอยู่ใน iOS version ต่ำกว่า 14.5 ระบบยังคงเก็บ IDFA ได้ แต่สำหรับ iOS version 14.5 เป็นต้นไปจะถูกปรับเป็น 0000…. นะครับ

Reference

* https://investor.fb.com/investor-news/press-release-details/2021/Facebook-Reports-Fourth-Quarter-and-Full-Year-2020-Results/default.aspx

** https://9to5mac.com/2021/03/11/former-facebook-employees-detail-how-ios-14-privacy-features-are-affecting-the-company

*** https://www.cnbc.com/2020/08/26/facebook-apple-ios-14-could-cut-audience-network-revenue-in-half.html

สำหรับชาวเทคคนไหนที่สนใจเรื่องราวดีๆแบบนี้ หรืออยากเรียนรู้เกี่ยวกับ Product ใหม่ๆ ของ KBTG สามารถติดตามรายละเอียดกันได้ที่เว็บไซต์ www.kbtg.tech

--

--